หมู่วิหารฟิเล่ (Philae temple complex)
ความลึกลับในอดีต (Ancient Mysteries) ของหมู่วิหารฟิเล่เดิมนั้นตั้งอยู่บนเกาะ Philae เมื่อมีการสร้างเขื่อนกักน้ำทั้งสองด้าน คือ Aswan Low Dam (ปี 1902) และ Aswan High Dam (1970) ทางด้านทิศใต้ หมู่วิหาร Philae ก็ถูกน้ำท่วม จนกระทั่งได้มีโครงการกอบกู้โบราณสถานซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งนูเบีย วิหารแห่งนี้ถือเป็น Ancient Mysteries หนึ่งในหลายแห่งที่ได้รับการกอบกู้ มีการรื้อถอนแล้วย้ายไปยังเกาะ Agilkia ที่อยู่ใกล้เคียงกัน
การเคลื่อนย้ายหมู่วิหารฟิเล่โดยสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งออสเตรีย เวียนนา (OREA) ใช้โฟโตแกรมเมทรีซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้สามารถสร้างขนาดดั้งเดิมของบล็อคการก่อสร้างที่สมัยโบราณใช้ ได้อย่างแม่นยำ จากนั้นอาคารทุกหลังจะถูกรื้อถอนออกเป็นประมาณ 40,000 ยูนิตตั้งแต่น้ำหนัก 2 ถึง 25 ตัน แล้วขนส่งไปยังเกาะ Agilkia ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สูงห่างออกไปประมาณ 500 เมตร (1,600 ฟุต) การถ่ายโอนเกิดขึ้นระหว่างปี 1977 ถึง 1980
และในศตวรรษที่ 19 นี่เองก็เกิดเหตุการณ์เคลื่อนย้ายที่สำคัญเช่นกัน คือ วิลเลียม จอห์น แบงส์ได้นำเสาโอเบลิสก์แห่ง Philae ไปยังประเทศอังกฤษ เมื่อนำอักษรอียิปต์โบราณมาเปรียบเทียบกับอักษรโรเซตตาสโตน อักษรอียิปต์โบราณก็ให้ข้อมูลกระจ่างอย่างยิ่ง
ความสำคัญของเกาะฟิเล่ในอดีต
อย่างไรก็ตาม หมู่เกาะฟิเล่เดิมนั้นไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ยังเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่าง Meroë เมืองโบราณบนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ใกล้กับประเทศซูดาน และเมมฟิส ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของอียิปต์ล่างด้วย เนื่องจากความเชี่ยวกรากของแก่งน้ำนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในทุกฤดูกาลที่จะขนส่งผ่านไปได้ จึงได้มีการขนถ่ายสินค้าที่จุดนี้ และสินค้าที่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างอียิปต์และนูเบียก็ขึ้นฝั่งและลงเรืออีกครั้งที่ Syene (ปัจจุบัน คือ เมือง Aswan) และที่เกาะ Philae
หมู่วิหารฟิเล่ยังโดดเด่นในเรื่องปรากฎการณ์ของแสงและเงาอันเป็นผลมาจากตำแหน่งที่อยู่ใกล้กับทรอปิกออฟแคนเซอร์(จุดเหนือสุดที่มีโอกาสดวงอาทิตย์โคจรมาทำแนววดิ่งกับพื้นโลก) เมื่อดวงอาทิตย์เข้าใกล้จุดทำแนวดิ่งกับพื้นโลกด้านเหนือ เงาจากชายคาวิหารที่ยื่นออกมาจะสั้นลงทอดเงาตามพื้นผิวเรียบของผนัง จนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นสูงสุด ผนังแนวตั้งก็มีเงาดำแผ่ขยายกว้างขึ้น ทำให้ตัดกันอย่างโดดเด่นกับแสงซึ่งส่องสว่างวัตถุรอบข้างทั้งหมดอย่างเด่นชัด
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของผู้มาเยือนเมื่อมองขึ้นมาจากเรือลำน้อยที่แล่นเข้ามาเทียบท่า เกาะที่มีสิ่งก่อสร้าง แนวเสาเรียงราย ที่ดูเหมือนโผล่พ้นน้ำขึ้นมาดังภาพลวงตา เมื่อเดินขึ้นจากเรือเสาระเบียงที่เรียงรายและผนังของอาคารสูงก็ชัดเจนขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ตัดกับสีเข้มของท้องฟ้ากว้าง แม้จะมีบางส่วนแสดงให้เห็นถึงความปลักหักพัง ทว่ายังดูแข็งแกร่ง โอฬาร สมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้พบเห็นถูกตรึงไว้ให้หวนระลึกว่าหมู่วิหารแห่งนี้เคยยิ่งใหญ่ ยืนยงผ่านกาลเวลา ทั้งมีผู้คนหลายยุคสมัยต่างหมุนเวียนผ่านเข้ามาอย่างมากมาย
หมู่วิหารฟิเล่กับเทพและเทพีสำคัญ
ฟิเล่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ฝังศพของโอซิริส หรือเทพเจ้าโอซิริส (Osiris) – เทพแห่งโลกหลังความตาย ได้รับความเคารพอย่างสูงจากชาวอียิปต์ทางเหนือและชาวนูเบียน มีความเชื่อถือว่าการเข้ามาของใครก็ตามนั้นเป็นการดูหมิ่น ยกเว้นนักบวชที่อาศัยอยู่ที่นั่น และด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งต้องห้ามและเรียกว่า “ไม่สามารถเข้าถึงได้” แม้กระทั่งว่าไม่มีนกบินมาเหนือ Philae และไม่มีปลาเข้าใกล้ชายฝั่ง สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่ออยู่ในยุคสมัยหนึ่ง ภายหลังตั้งแต่ในสมัยอาณาจักร Ptolemaic ฟิเล่เป็นที่พึ่งทางใจของคนมากมาย มีผู้แสวงบุญเดินทางไปเคารพหลุมฝังศพของ Osiris ทำให้นักบวชได้ยื่นคำร้องต่อ Ptolemy VIII Physcon (170-117 ปีก่อนคริสตกาล) เพื่อห้ามการเดินทางเข้ามาเหมือนดังเป็นสถานที่เปิดสาธารณะ อย่างน้อยที่สุดการมาและใช้ชีวิตที่นั้นต้องมีค่าใช้จ่าย
วิหารในฟิเล่ที่สร้างเก่าแก่ที่สุด คือ วิหารของไอซิสซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยของ Nectanebo I ในช่วง 380-362 ปีก่อนคริสตกาล และมีการสร้างเพิ่มเติมมาหลายยุคสมัย แม้จะมีการสร้างให้กับเทพและเทพีหลายองค์ แต่ที่ถือว่ามีความสำคัญมาก ได้แก่ วิหารที่สร้างอุทิศให้กับไอซิส โอซิริส และฮอรัส กำแพงวัดมีฉากจากตำนานอียิปต์เรื่องไอซิสที่ทำให้โอซิริสฟื้นคืนชีพ การให้กำเนิดฮอรัส และทำการมัมมี่ให้โอซิริสหลังจากการตายของเขา
เทพีไอซิส (Isis) เป็นใครมีความสำคัญอย่างไร
เธอเป็นเทพีแห่งความรัก การรักษา และไสยศาสตร์เวทมนต์ ไอซีส (Isis) เป็นการเรียกของกรีก ชาวอียิปต์โบราณเรียกเธอว่าอะเชท( Aset ) ซึ่งแปลว่าราชินีแห่งบัลลังก์ โดยถือกำเนิดเป็นธิดาองค์ที่ 4 แห่งเทพรา หรือเทพเร เทพแห่งดวงอาทิตย์ กับเทพีนุต เรื่องราวก็มีอยู่ว่า เทพราแต่งงานกบเทพีนุตมาหลายปีดีดัก ก็ไม่มีลูกสืบทอดวงศาซะที ไม่รู้ความผิดที่ใคร แต่เทพราก็พิโรธจัดถึงกับสาปแช่งให้เทพีนุตไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกเลย
เทพีนุตก็กลัดกลุ้มใจเป็นหนักหนา จึงไปปรึกษากับเทพธอทผู้ทรงความรอบรู้ ซึ่งเทพธอทได้ตกหลุมรักเทพีนุตมาโดยตลอด เทพธอทจึงได้ดำเนินแผนการ โดยไปท้าพนันกับเทพคอนชู เทพแห่งพระจันทร์ ที่รักลุ่มหลงการพนันเป็นชีวิตจิตใจ เทพธอทแข่งพนันเดินหมากกันกับเทพคอนชูจนหลงลืมวันคืน ซึ่งเทพคอนชูไม่ทันรู้เล่ห์กล จึงเปล่งแสงในขณะเล่นพนันอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งแสงมีมากพอเท่ากับแสงจากพระอาทิตย์จำนวน 5 วัน เทพธอทจึงยกเลิกการเล่นพนันกับเทพคอนชู
เหตุนี้ยังทำให้พระจันทร์มีข้างขึ้นข้างรม เนื่องจากเทพคอนชูมีแสงเหลือไม่มากพอที่จะเปล่งแสงให้สว่างได้ทุกคืน ทำให้ต้องลดแสงลงบ้างในบางคืน ซึ่งเป็นการกำเนิดของข้างขึ้นข้างแรมนั่นเอง ตั้งแต่นั้นมา
เทพธอทก็นำแสงนั้นมาทำให้เทพีนุตตั้งครรภ์ได้ ให้กำเนิดเหล่าเทพและเทพีจำนวน 5 องค์ อันได้แก่ เทพโอซีริส ผู้เป็นเทพกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เทพฮามาร์คิส หรือ สฟิงซ์ ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งรุ่งอรุณและเป็นเทพนักรบ เทพเซต ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งความชั่วร้าย เนื่องจากถือกำเนิดในช่วงเวลาที่เป็นฤกษ์ร้าย และภายหลังได้สังหารเทพโอซีริส เทพีไอซิส ผู้เป็นเทพีแห่งความรักและไสยศาสตร์ สุดท้ายคือ เทพีเนฟธิส ผู้เป็นเทพีผู้คุ้มครองวิญญาณคนตาย
เทพีไอซิสและเทพโอซิริสนั้นหลงรักสิเน่หากันมาตั้งแต่ครั้งอยู่ในครรภ์ของเทพีนุตผู้เป็นมารดา เมื่อเติบโตมาด้วยกันก็ยิ่งรักใคร่กันมากขึ้น เทพโอซิริสนั้นเป็นผู้มีวิสัยการเป็นผู้นำและมีความเก่งกล้าสามารถเหนือใคร ส่วนเทพีไอซิสนั้นเป็นผู้เก่งกาจด้านเวทย์มนตรา อีกทั้งยังมีสติปัญญาอันแสนชาญฉลาดยิ่งนัก
เทพีไอซิสมีความคิดอยากจะให้เทพโอซิริสได้ขึ้นครองบัลลังก์ไอยคุปต์ จึงใช้สติปัญญาของตนล่อลวงเทพราผู้เป็นพ่อ ให้บอกนามจริงแก่นาง ทำให้นางนั้นเกิดมีอิทธิฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ และมอบฤทธิ์ให้แก่เทพโอซิริส จนได้ขึ้นเป็นเทพราชาแล้ว จึงจัดพิธีอภิเษกสมรสกับเทพีไอซิส แต่งตั้งให้เป็นราชินีเคียงคู่พระองค์ เหล่าราษฎรทั้งหลายต่างเคารพนับถือในเทพเทพีทั้งสองเป็นอย่างมาก ด้วยคุณูปการที่ทำให้บ้านเมืองรุ่งเรือง
เทพเซตผู้มีความอิจฉาริษยาเทพรามาตลอด และคิดจะขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาให้ได้ จึงทำการสังหารเทพโอซิริส แล้วใส่โลงลอยตามแม่น้ำไนล์ไป ทำให้เทพีไอซิสเกิดความเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก ขณะนั้นเทพีไอซิสทรงตั้งครรภ์และด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ เทพีไอซิสจึงออกตามหาพระศพของเทพโอซิริสไปทั่วไอยคุปต์ จนเมื่อคลอดพระโอรสที่ให้ชื่อว่า เทพโฮรัส หรือ เทพฮอรัส ในระหว่างกลางการเดินทาง จึงมอบโอรสให้เทพีบูโตช่วยดูแล แล้วออกตามหาพระศพของโอซิรีสต่อไป ในที่สุดเทพีไอซิสก็พบพระศพของเทพโอซิรีส แต่เทพเซตผู้ชั่วร้ายก็สามารถตามหาพระศพเจอเช่นกัน จึงทำการฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วโยนทิ้งไปทั่วไอยคุปต์ ทำให้เทพีไอซิสต้องออกตามหาพระศพของเทพโอซีริสอีกครั้ง
เทพเซตยังได้ส่งงูร้ายตามไปสังหารเทพโฮรัสที่ยังเป็นเพียงแค่ทารกจนตาย ทว่าเหล่าทวยเทพได้มาบอกกับเทพีไอซิสว่า เทพโฮรัสจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง และครั้งนี้จะมีความเก่งกล้าสามารถเป็นที่สุด จนสามารถสังหารเทพเซตได้ เทพีไอซิสทำอุบายแปลงกายเป็นเทพีเนฟธิส เพื่อขอคำสาบานจากเทพเซตว่าจะไม่ทำร้ายโอรสของพระนางอีก ด้วยความที่เทพเซตคิดว่าเทพีเนฟธิสเป็นผู้พูด จึงตกปากรับคำ จึงทำให้เทพโฮรัสฟื้นคืนชีพกลับมา แล้วเทพีไอซิสก็ได้กลายกลับสู่ร่างเดิม ทำให้เทพเซตโกรธแค้นเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ติดตามหาชิ้นส่วนของเทพโอซิริสมาตลอดหลายปีก็สามารถตามหาชิ้นส่วนได้จนครบ และนำชิ้นส่วนกลับมาประกอบพิธีศพได้อีกครั้ง โดยมีเทพอานูบิส เทพแห่งความตาย โอรสที่เกิดจากเทพีเนฟธิส เป็นผู้ทำพิธีศพให้ มีการพันผ้ารอบพระศพและลงน้ำยา จนก่อให้เกิดเป็นมัมมี่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเทพโอซิริสก็สามารถไปถึงดินแดนแห่งความตายได้ และเป็นราชาแห่งโลกของคนตาย
How to go there:
บินตรงจากกรุงไคโร โดยสายการบินอียิปต์
When to visit:
ช่วงเวลาที่เหมาะในการสำรวจอียิปต์น่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคมถึงพฤษภาคม) หรือฤดูใบไม้ร่วง (กันยายนถึงพฤศจิกายน)
Where to stay:
Sofitel Legend Old Cataract Aswan
What to do in Aswan:
10 ประสบการณ์ห้ามพลาดในอัสวาน ประเทศอียิปต์
Why Philae Temple:
วิหารฟิเลเป็นเพชรเม็ดงามบนมงกุฎของแม่น้ำไนล์ที่ตั้งตระหง่านบนเกาะ Agilkia ทางตอนใต้ของอียิปต์ สถานที่ในตำนานแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ 690 ปีก่อนคริสตกาลเพื่อเป็นเกียรติแก่ไอซิส เทพีแห่งการรักษาและเวทมนตร์ของอียิปต์
เรื่องที่เกี่ยวข้อง