ทันทีที่ล้อเครื่องบินแตะรันเวย์บนผืนแผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ความหนาวเหน็บของเมืองนี้ก็อ้าแขนคอยต้อนรับเราอย่างเป็นมิตร สำหรับ Harbin แล้วฤดูหนาวที่มาพร้อมอุณหภูมิติดลบนั้นกลับเป็นเสน่ห์ที่ใครก็อยากมาเยือน ที่สำคัญเมื่อหิมะเริ่มโปรยปรายลงมา นั่นเป็นสัญญาณว่าเทศกาลความรื่นเริงที่ Harbin กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
จีนในกลิ่นอายตะวันตก
ฮาร์บิน เป็นเมืองเอกของมณฑลเฮย์หลงเจียง (黑龙江省 – Heilongjiang) ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ตำแหน่งบนแผนที่ตามภูมิศาสตร์นั้นทำให้ฮาร์บินมีสมญานามว่า “ไข่มุกบนคอหงส์” ซึ่งมาจากการที่ฮาร์บินเป็นเมืองท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่สำคัญเมืองหนึ่งของจีนนั่นเอง แต่อีกฉายาที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดีก็คือ “มอสโกแห่งตะวันออก”
เพราะตึกรามบ้านช่องตลอดจนบรรยากาศของเมืองนั้นล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลตะวันตกมาจากรัสเซียแทบทั้งสิ้น สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่นั้นเป็นสไตล์นีโอคลาสสิก (Neo-Classic) แต่ก็ผสมผสานความจีนลงไปได้อย่างมีเสน่ห์เฉพาะตัว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมณฑลนี้มีชายแดนติดกับรัสเซีย มีการติดต่อค้าขายคุ้นเคยกันมานาน ยิ่งไปกว่านั้นดินแดนแถบนี้ในอดีตยังเคยอยู่ภายใต้การปกครองของรัสเซียด้วย จึงทำให้ฮาร์บินมีความเป็นจีนในกลิ่นอายตะวันตกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ฤดูหนาวแห่งการสร้างสรรค์
ฤดูหนาวของฮาร์บินนั้นดูจะกระตุ้นให้ผู้คนอยากออกมาสนุกกับโลกภายนอกมากกว่าที่จะอุดอู้ขดตัวอยู่ในบ้าน เช่นเดียวกันกับนักท่องเที่ยวอย่างเราที่ต้องการมาสนุกกับเมืองนี้เพื่อท้าทายอากาศที่มีอุณหภูมิติดลบ แน่นอนว่าแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกก็คือเทศกาล Harbin International Ice and Snow Sculpture Festival ที่ทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยผลงานสร้างสรรค์จากหิมะและน้ำแข็งมากมาย
จนทำให้เทศกาลนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นเทศกาลน้ำแข็งและหิมะที่ใหญ่ที่สุดในโลก แถมยังได้รับการยกย่องให้เป็น Big 4 ที่เป็น 1 ใน 4 เทศกาลหิมะยิ่งใหญ่ของโลกอีกด้วย ร่วมกับ Sapporo Snow Festival ที่ญี่ปุ่น, Quebec City Winter Carnival ที่แคนาดา, และ Holmenkollen Ski Festival ที่นอร์เวย์
Harbin International Ice and Snow Sculpture Festival นั้นจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 5 มกราคม ไปจนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ของทุกปี โดยสถานที่จัดกิจกรรมหลัก 2 แหล่งใหญ่ๆ คือ Ice and Snow World อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำซงฮัว (Songhua River) ทางตอนเหนือของเมือง โซนนี้จะเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมน้ำแข็งขนาดมหึมามากมาย ส่วนอีกโซนที่เป็นไฮไลท์ไม่แพ้กันก็คือเทศกาลย่อยอย่าง Harbin International Snow Sculpture Art Expo ที่จัดขึ้นใน Sun Island Scenic Area โดยจุดเด่นของโซนนี้ก็คือการแกะสลักหิมะให้เป็นผลงานศิลปะต่างๆ มากมาย แถมยังเป็นเวทีประกวดสร้างสรรค์ที่ได้รับความสนใจในระดับโลกอีกด้วย มีศิลปินทั่วโลกที่ได้รับเชิญมาสร้างประติมากรรมหิมะ รวมถึงประเทศไทยของเราที่ทำผลงานไว้ยอดเยี่ยมจนเป็นที่กล่าวขวัญมาโดยตลอด ซึ่งปี ค.ศ.2019 ที่ผ่านมาเมืองไทยก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์เป็นปีที่ 10 ติดต่อกันด้วย
ที่ไปที่มาของตำนานเทศกาลฤดูหนาวนั้นเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 โดยเริ่มจากเทศกาล Ice Lantern Garden Party เทศกาลโคมไฟน้ำแข็งที่จัดขึ้นในอุทยานเซาหลิน (Zhaolin Park) และต่อมาในปี ค.ศ.1985 ทางเมืองก็ได้ขยายเทศกาลให้ยิ่งใหญ่ขึ้นเป็น Harbin International Ice and Snow Sculpture Festival ที่จัดขึ้นทั่วเมือง โดยเทศกาลดั้งเดิมอย่าง Ice Lantern Garden Party ก็ยังได้รับการอนุรักษ์ไว้โดยจัดควบคู่กันมาจนถึงปัจจุบันด้วยเช่นกัน
โบสถ์คริสต์บนจตุรัสมังกร
เปลี่ยนจากการตะลุยหิมะมาเป็นเตร็ดเตร่เที่ยวเมืองกันดูบ้าง หมุดแรกที่ต้องปักไว้เลยก็คือจัตุรัส St.Sophia ที่อาจทำให้ภาพจำของเมืองจีนดูแปลกตาไปจากที่คุ้นเคย ลักษณะของจัตุรัส St.Sophia นั้นคล้ายกับจัตุรัสแดงในกรุงมองโก ที่มีพระเอกเป็นโบสถ์คริสต์ขนาดใหญ่อันงดงามในชื่อเดียวกับจัตุรัสว่าเซนต์โซเฟีย (St.Sophia Cathedral / 圣.索菲亚教堂) เอกลักษณ์อยู่ตรงหลังคาโดมอันวิจิตรตามแบบสถาปัตยกรรมสไตล์ไบเซนไทน์ใหม่ (Neo-Byzantine) นั่นเอง
โบสถ์ใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1907 ภายหลังจากที่มีการสร้างรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย (Trans-Siberian Railway) ช่วงเชื่อมต่อจีนกับรัสเซียแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1903 เป็นความตั้งใจของรัสเซียที่สร้างขึ้นเพื่อแผ่ขยายอาณานิคมเชิงวัฒนธรรมถึงแม้ว่าดินแดนเดิมของตนจะตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของจีนแล้วก็ตาม โบสถ์แห่งนี้เป็นศาสนสถานของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ (Orthodox) ในส่วนของสถาปัตยกรรมนั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก The Cathedral of Christ the Saviour ในเมืองบอร์กิ (Borki) ที่ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่ของประเทศยูเครนไปแล้ว เป็นที่น่าเสียดายว่าโบสถ์ดั้งเดิมอันงดงามนั้นถูกทำลายจนสิ้นซากไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่เหลือความทรงจำใดไว้นอกจากภาพถ่ายในอดีต
ปัจจุบันโบสถ์เซนต์โซเฟียได้เป็นโบราณสถานขึ้นทะเบียนอนุรักษ์มาตั้งแต่พฤศจิกายน ค.ศ.1996 จากนั้นมาที่นี่ก็ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็น Municipal Architecture and Art Museum พิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าที่จัดแสดงเรื่องราวของฮาร์บินไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งโบสถ์แห่งนี้ก็ยังถือเป็นโบสถ์ออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนตะวันออกไกลอีกด้วย
สัตว์ประหลาดแห่งความสุนทรี
จากสถาปัตยกรรมยุคเก่าเราอยากชวนเปลี่ยนบรรยากาศไปว้าว! กับสถาปัตยกรรมยุคใหม่ที่ถือเป็นหนึ่งในไอคอนิคด้านสถาปัตยกรรมสุดล้ำของโลกกันบ้าง ฮาร์บินแกรนด์เธียเตอร์ ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Culture Island บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำบนคุ้งน้ำหนึ่งของแม่น้ำซุงฮัว โดยเปิดให้เป็นโรงละครมาตรฐานระดับสากลตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.2015 ที่ผ่านมา
เอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสุดล้ำในยุคใหม่ของจีนหลังนี้คืออาคารที่ไร้รูปทรงชัดเจน ซึ่งความพลิ้วไหวของเส้นสายสถาปัตยกรรมนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากสายน้ำและสายลมอันเป็นธรรมชาติที่โอบล้อมอยู่โดยรอบ หากดูองค์รวมก็จะคล้ายกับสัตว์ลึกลับที่มีลักษณะเหมือนปลาหมึกยักษ์โผล่ขึ้นจากผิวน้ำ เส้นสายลายเส้นของสถาปัตยกรรมจะมีลักษณะคล้ายกับหนวดปลาหมึก พลังความคิดสร้างสรรค์อันเหลือเฟือนี้มาจากฝีมือการออกแบบของสถาปนิกชาวจีน Ma Yansong แห่ง MAD Architects บริษัทสถาปนิกสัญชาติจีนอันโด่งดังในระดับสากลนั่นเอง
ถนนคนเพลิน
จบทริปความหนาวเหน็บด้วยของอร่อยและการช้อปปิ้งกันที่ย่านการค้าที่น่าเดินเล่นของฮาร์บินอย่าง “จงยางต้าเจีย (Zongyang Dajie)” หรือที่นิยมเรียกกันเป็นสากลอีกชื่อหนึ่งว่า Central Street นั่นเอง ถนนสายนี้เป็นถนนคนเดินที่ปูด้วยอิฐตามสไตล์ยุโรป ตลอดเส้นทางกว่า 1.4 กม. เรียงรายไปด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปในแบบนีโอคลาสสิก เต็มไปด้วยร้านรวงมากมายสองข้างทาง ให้บรรยากาศเหมือนเดินเล่นอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แถบยุโรปจนเกือบลืมไปว่ากำลังเดินอยู่ในเมืองจีน
เชื่อหรือไม่ว่ากิจกรรมยอดนิยมห้ามพลาดของฮาร์บิน แม้ว่าอากาศจะเย็นยะเยือกติดลบเพียงใดก็คือการกินไอศกรีม โดยเฉพาะฤดูหนาวที่พ่อค้าแม่ค้าจะนำไอศกรีมหลากรสมาวางขายให้เลือกกันละลานตาเหมือนซื้อผักผลไม้ตามตลาดท้องถิ่นอย่างไรอย่างนั้น แต่สำหรับร้านไอศกรีมที่โด่งดังที่สุดและว่ากันว่าอร่อยที่สุดในฮาร์บินก็คือ Ma Die Er (马迭尔) (แปลได้ว่า Modern ความทันสมัย) ที่ตั้งอยู่บนถนน Zongyang Dajie ซึ่งเป็นไอศกรีมแท่งรสนมแสนอร่อย ร้านนี้เปิดขายครั้งแรกในปี ค.ศ.1906 เจ้าของเป็นชาวยิวเชื้อสายรัสเซีย ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมที่ร้านไอศกรีมตั้งอยู่นั่นเอง สูตรอร่อยดั้งเดิมที่ขายดิบขายดีมาจนถึงทุกวันนี้กลายเป็นตำนานหนึ่งของฮาร์บินไปแล้ว
สตรีทฟู้ดท้องถิ่นยอดนิยมที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ประจำฮาร์บินอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ถังหูลู่ (糖葫芦 – Tang Hu Lu)” หรือผลไม้เคลือบน้ำตาล โดยเขาจะนำมาเสียบไม้ยาว ๆ มีทั้งแบบผลไม้ชนิดเดียวในไม้เดียวกันไปจนถึงผลไม้ผสมหลากรส เห็นหน้าตาเก๋ราวกับขนมสมัยใหม่แบบนี้แต่ความจริงแล้วว่ากันว่าถังหูลู่นี้เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ.960-1279) เลยทีเดียว แต่ถังหูลู่ของฮาร์บินจะแตกต่างกว่าเพราะอากาศหนาวทำให้น้ำตาลเคลือบแข็งตัวจนกรอบ กัดกร๊วบแล้วอร่อยแปลกลิ้นทีเดียว
ถึงแม้จะแลดูทันสมัย แต่ถนนสายนี้ก็สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1898 เลยทีเดียว และพัฒนาย่านการค้านี้มีเรื่อยมาจนมีเสน่ห์อย่างที่เห็น ซึ่งหลายครั้งถนนสายนี้ยังถูกนำไปเทียบว่าคล้ายกับ Regent Street ในลอนดอน Champs Elysees Avenue ในปารีส Linden Street ในเบอร์ลิน
หรือแม้แต่ Giza Street ในโตเกียว ที่ทุกแห่งล้วนเป็นย่านการค้าบนถนนแบบตะวันตกที่มีชื่อเสียงของโลกทั้งนั้น และเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกเหมือนกันด้วย และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฮาร์บินมีเสน่ห์ในหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ความเก่าแก่โบราณไปจนถึงความทันสมัยที่ผสมกันอย่างลงตัว
The Best time to go there
ฤดูกาล / ฤดูท่องเที่ยว
- ฤดูร้อน (มิ.ย.-ส.ค.) อุณหภูมิเฉลี่ย 20-23 C
- ฤดูหนาว (พ.ย.-ก.พ.) อุณหภูมิเฉลี่ย -5 – -20 C
How to go there
การเดินทาง / เครื่องบิน
- กรุงเทพฯ-ฮาร์บิน : การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไป ฮาร์บิน ไม่มีเที่ยวบินที่บินตรง จะต้องบินไปต่อเครื่องที่จีนอย่างเดียว สายการบินที่แนะนำก็จะเป็นสายการบินของจีนเป็นหลัก สามารถเลือกได้ตามสะดวกตั้งแต่ China Eastern Airlines (ต่อเครื่องที่เซี่ยงไฮ้), Air China (ต่อเครื่องที่ปักกิ่ง), หรือ Hong Kong Airline (ต่อเครื่องที่ฮ่องกง) จากนั้นก็จะบินไปลงที่สนามบิน Harbin Taiping International Airport (HRB) อีกที
- สนามบินเข้าสู่เมือง : สนามบินห่างจากตัวเมืองราว 37 กม. การเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองสำหรับนักท่องเที่ยวนั้นมี 2 วิธี คือ 1.รถบัสประจำทาง และ 2.แท็กซี่ (ราคาเฉลี่ยรวมประมาณ 150 หยวน)
การเดินทาง / รถไฟความเร็วสูง
- ปักกิ่ง-ฮาร์บิน : สำหรับใครที่อยากพ่วงทริปด้วยการแวะเที่ยวปักกิ่งด้วยสามารถเลือกนั่งรถไฟความเร็วสูง (High Speed Train) ได้ ซึ่งสถานีปลายทางที่ฮาร์บินคือ Harbin Railway Station / ใช้เวลาเดินทางราว 7-8 ชั่วโมง / ราคาค่าโดยสารประมาณ 306 หยวน
การเดินทางในท้องถิ่น
- รถเมล์ : มีบริการรถโดยสารสาธารณะรอบตัวเมือง / ราคาอยู่ที่ 1 หยวน / เที่ยว
- รถไฟใต้ดินของฮาร์บิน ปัจจุบันมี 1 สาย คือ Line 1 (กำลังจะเปิดบริการสายอื่นๆ เพิ่มในเร็วๆ นี้) / ราคาอยู่ระหว่าง 2-4 หยวน/เที่ยว ตามแต่ระยะทาง
Where to stay
ที่พักแนะนำ
- Hotel
- Wanda Vista Harbin > โรงแรมสุดหรู ตกแต่งมีสไตล์ ราคาเฉลี่ยเริ่มต้นที่ราว 3,000 บาท/คืน
- Sofitel Harbin > โรงแรมหรู มาตรฐานสากล ตกแต่งมีสไตล์ ราคาเฉลี่ยเริ่มต้นที่ราว 3,500 บาท/คืน
- Economy & Business Hotel
- Ibis Harbin Sophia Church > โรงแรมราคาประหยัด บริการมาตรฐาน ราคาเฉลี่ยเริ่มต้นที่ราว 1,500 บาท/คืน
- Harbin Humble House > โรงแรมในสไตล์ Boutique Business Hotel ที่ตกแต่งมีสไตล์ ราคาเฉลี่ยเริ่มต้นที่ราว 1,500 บาท/คืน
- Hostel / Capsule
- Harbin Riceshop Youth Hostel > โฮสเทลตกแต่งดี มาตรฐานแบบญี่ปุ่น ราคาเริ่มต้นราว 500 บาท/คืน
- Harbin Longmen Capsule Hostel > แค็ปซูลเก๋ ๆ ล้ำ ๆ ราคาเริ่มต้นราว 500 บาท / คืน
หมายเหตุ :
- ข้อมูลด้านราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โปรดตรวจสอบข้อมูลล่าสุดอีกครั้ง ณ เวลาปัจจุบัน หรือก่อนออกเดินทาง
- ข้อมูลด้านราคาที่พักเป็นราคาประมาณการจากการเทียบราคาตามเว็บไซต์หาที่พักต่างๆ หากต้องการสำรองที่พักโปรดเช็คราคา ณ ปัจจุบันตามแหล่งต่างๆ อีกครั้ง ซึ่งราคาอาจขึ้นอยู่กับช่วงเวลาเข้าพักในแต่ละฤดูกาล จำนวนผู้เข้าพัก ประเภทของห้องพัก และปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงได้