บารี-อะบาโรเบลโล่-โปลิคนาโนอะมาเร่-อุสตานี-เลซเซ่–มาเทร่า-โซเรนโต้-อัลมาฟี่-โปสิตาโน-คาปรี-นาโปลี 11 วัน 8 คืน
รายละเอียดในการเดินทางท่องเที่ยวนี้ไม่ใช่แพคเก็จเพื่อการขาย เป็นเพียงแนวทางที่ anywherelux นำเสนอให้ท่านเท่านั้น ส่วนในการเดินทางจริงของท่านอาจลดหรือเพิ่มเติมได้

วันที่ 1 กรุงเทพฯ
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสายขาออกระหว่างประเทศ ออกเดินทางสู่สนามบิน
เมืองบารี่ ประเทศอิตาลี (อาจมีการต่อเครื่องบินขึ้นอยู่กับสายการบินที่เลือกเดินทาง เวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง )
**ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง**
วันที่ 2 21.04.24 อิสตันบูล-บารี- เมื่องเก่า –โบสถ์เซ็นต์นิโคลัส-อัลเบอโรเบลโล
เดินทางสู่เมืองบารี (Bari) เมืองหลวงของแคว้นปูลยา และเป็นเมืองใหญ่อันดับสอง
ของอิตาลีทางตอนใต้ เมืองท่าเรือเก่าที่มีเสน่ห์ที่มีการป้องกันด้วยปราสาทสถาปัตยกรรมยุคกลาง
และเมืองในตำนานของซานตาคลอส ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลเอเดรียติก จนได้รับสมญานามว่า
“แคลิฟอร์เนียตอนใต้ของอิตาลี”เป็นศูนย์กลางการเดินเรือและศูนย์กลาง
ของอาณาจักรไบเซนไทน์ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองได้ถูกระเบิดทำลาย
ต่อมาได้บูรณะขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันมีบ้านเรือนทันสมัยสลับกับซากความเจริญในอดีต

City tour ผ่านชม จัตุรัสเฟอร์เรรา (Piazza del Ferrarese) จัตุรัสเก่าแก่ที่เป็นทางเข้าไปสู่ย่านเมืองเก่า สถาปัตยกรรมแปลกตามีเสน่ห์น่ารัก มีบานประตูและหน้าต่างเป็นสีต่างๆ รวมถึงพุ่มไม้ เรียงรายบนหลังคาอาคารบ้านเรือนนำท่านชมเมืองเก่าบารี (Old Town) ใจกลางเมืองเก่าของบารียังคงสภาพสมบูรณ์และแตกต่างอย่างชัดเจนจากการพัฒนาสมัยใหม่ที่ล้อมรอบ. ในขณะที่เมืองเก่ามีเขาวงกตของถนนเล็ก ๆ ที่ปูด้วยหินกรวดที่ไหลเวียนในรูปแบบเกือบเป็นวงกลมเมืองสมัยใหม่มีถนนที่ทันสมัยและการจัดระเบียบ. ผ่านชม Di San Sabino โบสถ์แห่งนี้เป็นอาคารที่ตั้งใจกลางเมืองเก่า ด้านหน้าของโบสถ์มีการออกแบบทำจากหินสีขาวและมีรูปปั้นและหน้าต่างหรูหรา สร้างขึ้นในปี 1292 และเป็นตัวอย่างที่สำคัญของสถาปัตยกรรมแบบโรมัน

นำชม มหาวิหารสันตะปาปาแห่งเซนต์นิโคลัส (Basilica of Saint Nicholas) ที่มีความสำคัญทางศาสนาอย่างกว้างขวางทั่วยุโรปและโลกคริสเตียน มหาวิหารแห่งนี้เป็นสถานที่แสวงบุญที่สำคัญสำหรับทั้งชาวโรมันคาทอลิกและคริสเตียนออร์โธดอกซ์ ซึ่งเดิมเคยใช้เป็นที่พำนักของผู้ปกครองเมืองชาวไบแซนไทน์ เมื่อราวปี ค.ศ.1000 ต่อมาในปี ค.ศ.1087 ชาวบารีได้นำกระดูกของเซนต์นิโคลัสมาจากโบสถ์แห่งเมืองไมร่า (Myra) ในประเทศตุรกี จึงได้ดัดแปลงอาคารแห่งนี้เป็นโบสถ์ และประดิษฐานกระดูกของเซนต์นิโคลัสไว้ภายใน ซึ่งเชื่อกันว่า เซนต์นิโคลัส ก็คือที่มาของซานตาคลอสนั่นเอง

UNSEEN-มรดกโลก จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองอัลเบโรเบลโล (Alberobello) ได้ชื่อว่า A Fairy Tales Town ตั้งอยู่ในแคว้นปูลยา หรือ อะพิวเลีย (เดินทางประมาณ 55 นาที) ทางทิศตะวัน ออกเฉียงใต้ของอิตาลี เป็นเมืองที่อยู่เกือบปลายเกือกของอิตาลี จึงมีทะเลล้อมรอบอยู่ใกล้ๆนำท่านเข้าที่พัก ก่อนจะ นำท่านเข้าชม หมู่บ้านกระโจมหิน (Trullo village) หมู่บ้านเก่าแก่ที่มีประวัติเกือบพันปี ด้วยความโดดเด่นของบ้านเรือนที่มีเอกลักษณ์เป็นรูปหลังคาทรงกรวยที่มียอดแหลมกลมส่งผลให้หมู่บ้านนี้มีความสวยแปลกตาอย่างมาก ไม่เหมือนใครที่สร้างกันลดหลั่นตามระดับสูงต่ำของพื้นที่ ด้วยความสวยงาม มีเอกลักษณ์ และประวัติที่เก่าแก่ของหมู่บ้านแห่งนี้ ทำให้ในปี 1996 ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก (UNESCO) อิสระท่านชมความเมือง

คืนที่ 1 Alberobello นำท่านเดินกลับ โรงแรม บรรยากาศสบายๆ แบบกระโจม Trulli Holiday Albergo Diffuso หรือเทียบเท่า
Stay Day 1



Trulli Holiday Albergo Diffuso, Alberobello, Italy



Trulli Quercus, Alberobello, Italy



Trulli Soave, Alberobello, Italy
วันที่ 3 22.04.24 อันเบโรเบลโล-โปลินาโนเอมาเร-Grotto Palazzese-Ostoni-เมืองเลซเซ่
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ภัตตาคาร เช็คเอ๊าท์จากโรงแรม
UNSEEN เดินทางไป เมืองโปลินาโน เอ มาเร (Poligano a mare) (ระยะทาง 26 กม เวลาเดินทาง 30 นาที) โดดเด่นด้วยสภาพแวดล้อมที่สวยงาม บนทำเลบนยอดผาหินปูนที่ชะโงกอยู่เหนือทะเลเอเดรียติก เป็น หมู่บ้านชาวประมงเก่ายังคงเสน่ห์แบบกะลาสีเรือไว้ในทุกมุม เมืองเก่าที่สวยงาม เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างมากการแข่งขัน ‘Red Bull Cliff Diving World Series’ ที่จัดขึ้นบนหน้าผา และชื่นชมสถาปัตยกรรมโบราณเพื่อซึมซับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของเมืองโปลินาโน เอ มาเรที่ย้อนไปไกลมากกว่า 2,000 ปี หาดลามะโมนาชิล (Lama Monachile) ชายหาดที่มีชื่อเสียง Cala Ponte และเป็นชายหาดกรวด ที่มีผู้คนพลุกพล่านมากในฤดูท่องเที่ยว ตั้งอยู่ใจกลางเมืองระหว่างกำแพงหินสูงสองชั้นที่ปกป้องจากอากาศหรือคลื่นลมแรง

รูปปั้น Domenico Modugno ชื่อของศิลปินอิตาเลียน ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพลง ‘Volare’ รูปปั้นทองสัมฤทธิ์ตั้งอยู่บนทางเดินที่ตั้งชื่อตามนักร้องนักแต่งเพลง ด้านหลังรูปนี้มีบันไดที่เรียกว่า Volare ซึ่งนำไปสู่ลานระเบียงบนหน้าผาที่สวยงามของเมือง

UNSEEN ชม Grotta Palazzese ถ้ำที่ตั้งอยู่ในโขดหินหันหน้าออกสู่ทะเล. ที่มีวิวตระการตามาก รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร Ristorante Grotta Palazzese ตั้งอยู่ในถ้ำ สุด หรู สุดโรแมนติก ได้ชื่อว่าเป้นภัตตาคารในภ้ำที่สวยที่สุดในโลกแห่งหนี่ง **No booking has been made- confirmed seat by prepaid only** **ราคาเริ่มตินที่ ท่านละ 200 ยูโร**

UNSEEN เดินทางสู่ เมืองออสตูนี (Ostuni) (ระยะทาง 46 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 38 นาที) ตั้งอยู่บริเวณตอนปลายสุดของคาบสมุทรอิตาลี เป็นเมืองที่ถือได้ว่าเป็นอัญมณีทางด้านสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่ง ได้รับการยกย่องให้เป็น “เมืองสีขาว” (White City) แห่งอิตาลีอีกด้วย เมืองนี้มีความโดดเด่นทางด้านภมิศาสตร์ที่สวยงามไม่แพ้เมืองอื่นๆโดยเฉพาะสภาพภูมิทัศน์ของชายหาด ไร่องุ่น รวมไปถึงไร่มะกอกสีเขียวขจีตัดกับท้องฟ้าสีครามสดใส

ถ่ายภาพความสวยงามของเมือง บริเวณ จัตุรัสออสตูนี (Ostuni Square) หรือ เปียซ่า เดลลา ลิเบอร์ต้า (Piazza della liberta)โดยบริเวณจัสตุรัสนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์เซนต์ โอรอนโว (Saint Oronzo’s column)นักบุญที่มีชื่อเสียงของคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก นำท่านแวะถ่ายรูปที่จุดชมวิว THE CORSO VITTORIO EMMANUEL II VIEWPOINT ที่จะสามารถเก็บภาพเมืองสีขาวทั้งเมือง อย่างสวยงาม

UNSEEN เดินทางนำท่านเดินทางสู่เมืองเลชเช่ (Lecce) (ระยะทาง 77 กม ใช้เวลาประมาณ 1.ชม) หนึ่งในเมืองสำคัญของแคว้น Puglia ชมเมืองเก่าสไตล์บาโรก เลชเช่ ได้ชื่อว่าเป็นฟลอเรนซ์ของภาคใต้ “The Firenze Of The South” เป็นเมืองหลวงของศิลปะบาโรก นายธอมัส แอช นักท่องเที่ยวในศตวรรษที่ 18 ได้กล่าวไว้ว่า “เลชเช่คือเมืองที่สวยที่สุดในอิตาลี”

Stay Day 2 Lecce นำท่านเข้าที่พัก ณ Hotel Pollicastro Boutique,Lecce 4* หรือทียบเท่า



วันที่ 4 23.04.24 เมืองเลซซี-มาเทรา
ชมบริเวณ ภายนอก “The Celestini Palace” หรือ Palazzo dei Celestini ปราสาทราชวังเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ภายใต้สถาปัตยกรรมแบบบาโรก ปัจจุบันที่นี่ได้รับการอนุรักษ์จากรัฐบาลทำให้ทั้งโครงสร้างด้านใน และด้านนอกยังคงแข็งแรง ทั้งยังถูกใช้เป็นที่ว่าการของเมืองเลชเช่อีกด้วย ถัดมาใกล้ ๆ กันคือ “Basilica di Santa Croce” หรือมหาวิหารซานตาโคร มหาวิหารแห่งนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1549 – ค.ศ. 1582 มีความสวยงามโดดเด่นด้วยการแกะสลักหินที่สวยงาม ตกแต่งซุ้มด้านหน้าด้วยรูปปั้นสัตว์หน้าตาแปลกประหลาด จุดเด่นที่ดึงดูดความสนใจจะเป็นหน้าต่างบานใหญ่ตรงกลางที่แกะสลักเป็นรูปกุหลาบซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะแบบกรีกโรมัน อลังการจนใครไปใครมาก็ต้องหยุดมองอิสระท่านเดินเล่นตามอัธยาศัย

The Celestini Palace

UNSEEN-มรดกโลก เดินทางสู่ เมืองมาเทรา (Matera) (ระยะทาง 136 กม เวลาประมาณ 1.48 ชม) จะต้องมีการเปลี่ยนรถเล็กเพื่อเข้าไปพักในเมือ่งเก่า
Matera เมืองโบราณเล็กๆสร้างอยู่ในหิน และผู้คนก็อาศัยอยู่ในหิน มานานหลายศตวรรษ เรียกว่า ซาสซี (SASSI) ซึ่งองค์การยูเนสโกกำหนดให้เป็นถิ่นฐานที่มี วัฒนธรรมที่ควรเก็บรักษาจนได้ประกาศให้เป็นมรดกโลก ตั้งทางตอนใต้ของอิตาลีที่ น้อยคนนักจะรู้จัก เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มี ความสำคัญทางประวัตศาสตร์ ที่ตั้งอยู่ในแค้วน บาซิลิกาตา (Basilicata) ของประเทศอิตาลี เมืองมาเทรา ได้รับขนานนามว่าเป็นเมืองใต้ดินหรือเมืองมนุษย์ถ้ำ *เป้นเมืองที่ถ่ายทำภาพยนต์มากที่สุดในโลกแห่งหนึ่งเลยทีเดียวคะ นำท่านชมชมบ้านถ้ำหิน (Casa Grotta di vico Solitario) ย่านเมืองเก่า สัมผัสชีวิต ท่ามกลางเขาวงกตที่มีทางเดินขนาดเล็กที่ปู ดว้ยหินบันไดสงูชัน และถนนที่คดเคี้ยว ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนอันแสนเก่าแก่ ไม่มี สถาปัตยกรรม หรือพระราช วังที่สวยงามใดๆ มีแต่บ้านช่องที่มีอยู่

Stay Day 3 Matera นำท่านเข้าสู่ที่พัก Hotel Aquatio Cave Luxury Hotel & Spa, Matera 5* (Cave Hotel) หรือเทียบเท่า ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่า
วันที่ 5 24.04.24 มาเทรา- คาสเทลเมสซาโน-โซเรนโต้
เดินทางสู่ เมืองคาสเทลเมสซาโน (Castelmezzano) (84 กิโลเมตรเดินทางประมาณ 1.10 ชม.) เป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ในจังหวัดโพเทนซ่า(Potenza) หนึ่งใน 20 แคว้นของประเทศอิตาลี เมืองนี้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในประเทศอิตาลี สร้างอยู่ในใจกลางหุบเขา Dolomite Lucane ที่คอยปกป้องลมฝน เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 900 คน แรกเดิมเป็นถิ่นฐานของชาวกรีกราวศตวรรษที่ 5-6 แต่การเข้าไปชมเมืองแสนสวยแห่งนี้ก็ไม่ธรรมดา ต้องลอดผ่านอุโมงค์ ข้ามช่องเขา เพื่อเข้าสู่ดินแดนที่น่าค้นหาแห่งนี้ นำท่านไปยังจุดถ่ายรูปที่สามารถมองเห้นวิวทั้งเมืองอย่างสวยงาม

เดินทางสู่ เมืองซอเรนโต้ (Sorrento) (ระยะทาง 246 กม. เวลาเดินทางประมาณ 3.15 ชม) หรือ เมืองนางเงือก เมืองริมชายฝั่งทะเลที่มีบ้านเรือนสีสวยเรียงรายตามแนวขอบผาหินสูง ท้องฟ้าสีคราม น้ำทะเลใส เมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว กษัตริย์โรมัน ชนชั้นสูงและศิลปินชาวอิตาเลียนเดินทางมาตั้งรกรากที่นี่ เพราะทิวทัศน์ของที่นี่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ สวยงามที่ไม่เหมือนที่ใด อากาศสบายๆ แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และไร่มะนาว ด้วยมนต์แห่งเพลง Come Back to Sorrento และชื่อเสียงของความงามของทิวทัศน์เหล่านี้ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนจากทั่วโลก

ชมจตุรัส ปิอัซซ่าแทสโซ (Torquato Tasso) จัตุรัสใหญ่ที่สุดของเมือง ตั้งชื่อเป็นเกียรติให้แด่กวี ทอร์ควาโต แทสโซ ชาวเมืองซอร์เนรโตผู้เป็นคนแต่งบทประพันธ์เรื่อง Jerusalem Delivered เรื่องราวของสงครามครูเสดครั้งแรก มีอนุสาวรีย์ของเขาตั้งอยู่หน้า Plazzo Veniero เดิมปิอัซซ่า แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งปราสาทกษัตริย์เฟอร์ดินานด์แห่งอารากอนในสมัยศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันกลางจัสตุรัสเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์เซ็นต์อันโตนีโน นักบุญประจำเมืองซอร์เรนโต

หลังจัตุรัส ให้มองลงไปยัง Deep Valley of the Mills สิ่งก่อสร้างยุคโบราณที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ท่ามกลางหุบเขาเขียวชอุ่มคุณจะเห็นทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจของซากปรักหักพังโบราณที่ส่วนหนึ่งถูกปกคลุมด้วยเฟิร์น ภูมิประเทศของชายฝั่งทะเลซอร์เรนโตเต็มไปด้วยก้อนหินตะปุ่มตะป่ำเนื่องจากถูกน้ำกัดเซาะมาตลอดหลายพันปี หนึ่งในหุบเขาที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดตั้งอยู่ใจกลางเมืองหุบเขาแห่งนี้ได้ชื่อว่าสวยงามราวกับภาพวาด เหมาะกับการเดินทางมาสำรวจอย่างยิ่งอิสระท่านตามอัธยาศัย หาซื้อของที่ระลึกในตรอกแคบๆ หรือพักผ่อนหลังจากเดินทางไกล

Stay Day 4 Sorrento นำท่านเข้าสู่ที่พัก Hotel Hilton Sorrento palace 4+* (Lake View) หรือเทียบเท่า

วันที่ 6 25.04.24 โซเรนโต้- -อัลมาฟี่-boat cruise- มิโนริ-ราเวลโล พสิตาโน
มรดกโลก ลัดเลาะทิวเขาสู่ชายฝั่งทะเลตอนใต้ของอิตาลีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง อมาลฟีโคสท์ (Amalfi Coast) เส้นทางมรดกโลก ในปี ค.ศ.1997 ได้รับการยกย่องว่าเป็นชายฝั่งที่สวยที่สุดในยุโรป ชมธรรมชาติอันงดงามกับบ้านเรือนที่ถูกสร้างอย่างลงตัวบริเวณผาสูง **เดินทางด้วยรถเล็ก minibus**

เดินทางไปยัง ถึง เมืองราเวลโล (Ravello) (ระยะทาง .. กม เดินทางประมาณ 1.58 ชม) เมืองริมทะเลอีกแห่งทางตอนเหนือของเขตชายฝั่งอมัลฟี มีความสวยงามของทัศนียภาพทั้งสวนสวยงามและชายฝั่งทะเลที่มีชื่อเสียงบนควมมสูงกว่าระดับน้ำทะเล 365 เมตร ผ่านชมความงามของอาคารต่างๆ เช่น Ravello Cathedral หรือ Duomo di Ravello โบสถ์สไตล์อิตาเลี่ยนที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1086 ตั้งอยู่ใจกลางเมืองในจัตุรัสโบสถ์ของราเวลโล่ ซึ่ง เคยเป็นถิ่นพำนักของศิลปินนักประพันธ์เพลงชาวเยอรมันชื่อดัง ริชาร์ด วากเนอร์ถ่ายรูปกับโบสถ์ The Church of Annunciation โบสถ์หินอ่อนอาคารคู่แฝด ที่เป็นเอกลักษณ์ของราเวลโล่ และให้ท่านชมความงดงามของศิลปะการผลิตจานเซรามิกและมีลวดลายงดงามที่มีชื่อเสียงที่สุดของราเวลโล่ ท่านสามารถเลือกซื้อได้เป็นที่ระลึก

เดินทางไปบัง เมืองโพสิตาโน (Positano) (18 กม.) เมืองที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดของเหล่าเมืองริมชายฝั่งอัลมาฟี โดดเด่นด้วยตึกอาคารสีเหลืองนวลและน้ำตาลอ่อนบนเนินเขา เดิมเป็นเมืองท่าภายใต้การปกครองของแคว้นอมาฟี มีฐานะร่ำรวยอย่างมากใน ยุคกลาง เมืองที่ไร้ซึ่งที่ราบแห่งนี้เต็มไปด้วยบ้านเรือนที่สร้างกันอยู่บนหน้าผาสูงชัน ไล่เรียงกันลงมาเป็นแถบ จึงกลายเป็นเมืองทรงเสน่ห์จนได้รับสมญานามว่า “Town of Thousand Postcard” อิสระเดินเล่นในเมือง นำท่านถ่ายรูปวิวเมืองโพสิตาโน ณ จุดชมวิว ที่สามารถเก็บวิวเมืองโพสิตาโน ได้แบบเต็มๆ

เมืองมรดกโลก ชม เมืองอมาลฟี (Amalfi) (ระยะทาง 17 กม เดินทางประมาณ 17 นาที) จุดหมายปลายทางฝันของเส้นทางสายอมาลฟี่ โคสต์ (Amalfi coast) ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ทำให้ทั้งศิลปิน นักกวี นักเขียน ต่างหลั่งไหลมาเยือนกันเป็นเวลานับศตวรรษมาแล้ว เมืองที่เคยมีอำนาจทางทะเล สมญานามว่า Queen of Mediterranean

ถ่ายภาพด้านหน้า วิหารแห่งนักบุญแอนเดรีย มหาวิหารอะมัลฟี (Amalfi Cathedral) ซึ่งเป็นวิหารที่มีความสาคัญเพราะเป็นที่ประทับของบิชอป ด้านหน้าของวิหารตกแต่งด้วยสีสันสวยงาม และบันไดที่มีขนาดใหญ่ อันเป็นผลงานศิลปะแบบลอมบาร์ด- นอร์แมน (Lombard-Norman stlyes) หอระฆังสร้างในปี ค.ศ.1276 และได้รับการบูรณะในปี ค.ศ. 1768 เป็นมหาวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่ นักบุญแอนดรูว์ (Saint Andrew) ซึ่งเมื่อมองมาจากบริเวณท่าเรือ จะสามารถมองเห็นหอระฆังที่งดงามของมหาวิหารได้อย่างชัดเจน เป็นมหาวิหารที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามจากโครงสร้างของโบสถ์เดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 9 และมีการปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่อง โดยตัวอาคารได้รับ การตกแต่งในแบบบาโรกยุคปลาย อิสระให้ท่านเพลิดเพลินเดินเล่นและเก็บภาพความน่าประทับใจในเมืองอันแสนโรแมนติกแห่งนี้

Stay Day 5 Almafi นำท่านเข้าสู่ที่พัก ห้องพัก แบบ (SeaView) Luxury Hotel Anantara Convento di Amalfi Grand,5* หรือเทียบเท่า
วันที่ 7 26.04.24 เกาะคาปรี – ถ้ำบลูกร็อตโต้
นั่งเรือ High speed ferry ข้ามทะเลสู่ เกาะคาปรี จากท่า Almafi (ใช้เวลา เดินทางประมาณ 20 นาที**ยาเมาเรือ**
เกาะคาปรี (Capri Island) เป็นดาวเด่นอยู่ที่อ่าวเนเปิ้ลในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คาปรีที่ตั้งอยู่ที่ด้านล่างของเกาะบริเวณชายหาดงาม และ อนาคาปรีที่มีชัยภูมิอยู่บนจุดหน้าผาสูง สวรรค์ของการตากอากาศที่เหล่าคนดัง นักการเมือง หมู่มวลศิลปิน ดาราดังระดับโลกต่างพากับชื่นชมการตากอากาศที่เกาะแห่งนี้ó นำท่านนั่งเรือเล็กลอดเข้าชม ถ้ำบลูกร๊อตโต้ (Blue Grotto Cave) ที่มีความ งดงามอย่างมากและมีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในโลก ปากถ้ำจะสูงกว่าผิวน้ำเพียง 4 ฟุตเท่านั้น ซึ่งจะต้องนั่งเรือเล็กเข้าไป เมื่อเข้าถ้าน้าที่มีการกระทบของแสงกับน้า ทะเลสีครามทำให้ภายในบริเวณถ้ำเป็น ประกายด้วยแสงสีน้าเงินฟ้าแปลกตา ถ้ำนี้รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโรมัน แต่ถูกหลงลืมจนกระทั่งมาค้นพบใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1826 *** หมายเหตุ *** การเข้าชมชมถ้ำ BLUE GROTTO ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และระดับ น้ำทะเลในวันนั้น **

ขึ้นรถราง Funicular สู่ตัวเมืองเก่าที่ตั้งอยู่ด้านบนของยอดเขา นำท่านไปยังจุดชมวิวที่สวยที่สุดและสูงที่สุดชมทิวทัศน์อันงดงามของยอดเขาอนาคาปรี Monte Solaro ให้ท่านได้อิสระเดินชมตัวเมืองเก่าคาปรีที่มีเสน่ห์เป็นที่หลงใหล ชมโบสถ์ ตึก อาคาร บ้านเรือนและบ้านพักตากอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ตามอัธยาศัย และร้านค้าของที่ระลีกมากมาย

Stay Day 6 Capri นำท่านเข้าสู่ที่พัก ณ Weber Ambassador Capri 4* (SEA VIEW Room) หรือ เทียบเท่า

วันที่ 8 27.04.24 คาปรี -นาโปลี- นาเปิ้ล-พระราชวังกาแชร์ตา
ไปยังท่าเรือ Capri Port Marina
นั่งเรือ เดินทางสู่ เมืองเนเปิ้ล (Naple) หรือ เมืองนาโปลี (Napoli) เดินทางไปยังเมืองมรดกโลก-เมืองเนเปิ้ลส์ (Naples / Napoli) เมืองหลวงของแคว้นกัมปาเนีย และเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางด้านเศรษฐกิจตอนใต้ของอิตาลี มีเสน่ห์เรื่องทัศนียภาพ พืชผลท้องถิ่น และอาหารพื้นเมืองรสจัดจ้าน เป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมอ่าวนาโปลี พื้นที่บริเวณกึ่งกลางระหว่างภูเขาไฟวิสุเวียสและภูเขาไฟกัมปีเฟลเกรย์ ถือว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวยด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเเละมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์มากมาย จนได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1995 เเละที่สำคัญก็คือที่เมืองเเห่งนี้เป็นเเห่งเเรกที่เริ่มทำพิซซ่า จึงนับได้ว่าเป็นเมืองต้นตำรับของพิซซ่าอย่างเเท้จริง

UNSEEN-มรดกโลก ชมพระราชวังกาแซร์ตา (Palace of Caserta) เป็นอดีตพระราชวังที่ประทับของกษัตริย์แห่งเนเปิลส์แห่งราชวงศ์บูร์บง ที่ตั้งอยู่ที่เมืองกาแซร์ตา เป็นหนึ่งในพระราชวังแบบบาโร กชั้นเลิศที่ใหญ่ที่สุดที่สร้างขึ้นในยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 18พระราชวังแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1997 .การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1752 โดยพระเจ้าชาลส์ที่ 7 แห่งเนเปิลส์ แต่พระองค์ก็มิได้มีโอกาสที่จะได้บรรทมในพระราชวังแม้แต่เพียงคืนเดียว พระเจ้าชาลส์ทรงสละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1759เพื่อไปเป็นพระมหากษัตริย์สเปน การก่อสร้างดำเนินต่อมาโดยพระราชโอรสองค์ที่สามคือพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 4 แห่งเนเปิลส์ (พระราชวังแห่งนี้ยังเป้นที่ถ่ายทำภาพยนต์ Star Wars อีกด้วย) ได้เวลา เดินทางกลับเมืองเนเปิ้ล

รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารพื้นเมือง เมนูพิตซ่าต้นตำหรับ สไตล์นาโปลี พิซซ่า “เนโปลิตัน” มีลักษณะพิเศษเฉพาะ คือมีความกรอบแต่นุ่ม รสชาติเปรี้ยวของมะเขือเทศและกลิ่นหอมของโอริกาโน กระเทียม ใบโหระพา และมอซาเลร่า
ชมเมือง ผ่านชมปราสาท นูโอโว (Nuovo Castle) ปราสาทในยุคกลางที่ถูกสร้างขึ้น มาในปี 1282 โดยสร้างด้วยหินทราย โดดเด่นด้วยซุ้มประตูทรงกลมสูงตั้งสง่า จนเป็นสัญลักษณ์แห่งสถาปัตยกรรมของเมือง ที่ถึงแม้จะได้รับการบูรณะ ปรับปรุงมาแล้วหลายครั้ง ก็ยังคงความงดงามเสมอ
ผ่านชม ปราสาทเดลโดโว่ Castel dell’Ovo เป็นปราสาทในสมัยศตวรรษที่ 15 มีความสำคัญต่อชาวกรีกและชาวโรมัน ที่เข้ามาครอบครอบดินแดนนี้ จุดเด่นของปราสาทสร้างขึ้นด้วยหิน มีหอคอยคู่ตั้งอยู่ ปราสาทนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปราสาทไข่ ซึ่งเคยถูกนำไข่มาวางใต้ฐานปราสาท เชื่อว่าหากไข่ยังสมบูรณ์ ปราสาทจะไม่ถูกทำลาย
Stay Day 7 Naples นำท่านเข้าสู่ที่พัก Hotel NH Panorama Napoli 4* (with View) หรือเทียบเท่า รร.ตั้งอยูใจกลางเมืองนาโปลี

วันที่ 9 28.04.24 โบสถ์เคปเพลลา ซานซเวโร่–จตุรัสเปลบริสิโต-Galleria Umberto I
ถ่ายรูปกับสถาปัตยกรรมงดงามของโบสถ์แคปเพลลา ซานเซเวโร่ Capella Sansevero เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 รวบรวมผลงานทางศิลปะ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาของอิตาลี มีภาพวาดบนฝาผนังแสดงถึงเรื่องราวในศาสนาคริสต์ และประติมากรรมหินอ่อนที่หรูหรา ผู้คนมากมายในเมือง มักจะมาใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่สวดมนต์อธิษฐานเพื่อขอพร และเพื่อความสงบทางใจ
เดินเล่นชมเมืองบริเวณจัตุรัส เปบลิสซิโต Piazza del Plebiscito (เดินจาก Galleria Umberto I เพียง7 นาที) เป็นจัตุรัสที่สวยและใหญ่ที่สุดในเนเปิลส์ ที่มีการปูหินปูนขาวเป็นรูปแบบต่างๆ เสาหินมากกว่า 30 ต้นตั้งเรียงรายกันเป็นรูปครึ่งวงกลมรอบๆการก่อสร้างจัตุรัสนี้ในนามของ Joachim Murat น้องเขยของจักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต Murat เป็นกษัตริย์แห่ง Naples ตั้งแต่ปี 1808 ถึง 1815 จัตุรัสรูปครึ่งวงกลมมีพระราชวัง (Palazzo Reale) ด้านหนึ่งและอีกด้านหนึ่งมีโบสถ์ San Francesco di Paolo ซึ่งสร้างขึ้นตามตัวอย่างของ Pantheon ในกรุงโรม อิสระถ่ายภาพ และ เดินเล่นแหล่ง ช้อปปิ้งโดยรอบ

UNSEEN-มรดกโลก อิสระ ช้อปปิ้ง ในแกลเลอเรีย อุมแบร์โต I (Galleria Umberto I) อันวิจิตรจากศตวรรษที่ 19 เป็นแกลเลอรี่ช้อปปิ้งของประชาชนในเนเปิลส์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อรวมธุรกิจ ร้านค้า คาเฟ่ และชีวิตทางสังคม แกลเลอเรียมีโครงสร้างรูปกากบาทสูงและกว้างขวาง ล้อมรอบด้วยโดมแก้วที่ค้ำยันด้วยโครงเหล็ก 16 ชิ้น จากสี่ปีกเหล็กและหลังคาโค้งกระจกอาคารเป็นส่วนหนึ่งของยูเนสโกรายชื่อของศูนย์ประวัติศาสตร์ของเนเปิลส์ Galleria Umberto เป็นสถานที่ถ่ายทำThe Gallery (1947)

รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารจีน
รับประทานอาหารค่ำ เมนูพิตซ่าต้นตำหรับ สไตล์นาโปลี
Stay Day 8 Naples นำท่านเข้าสู่ที่พัก Hotel NH Panorama Napoli 4* หรือเทียบเท่า รร.ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนาโปลี

วันที่ 10 29.04.24 shopping outlet- สนามบิน-อิสตันบูล
เดินทางไปยัง La Reggia Designer OutletLa (10 KM) อิสระในการเลือกซื้อสินค้าก่อนกลับ
หลังเดินทางไปสนามบิน เผือให้มีเวลาทำคืนภาษี (Tax Refund) ออกเดินทางสู่กรุงเทพ โดย สายการ บินเตอร์กิช TK1880
วันที่ 11 30.04.24 กรุงเทพฯ
รายละเอียดในการเดินทางท่องเที่ยวนี้ไม่ใช่แพคเก็จเพื่อการขาย เป็นเพียงแนวทางที่ anywherelux นำเสนอให้ท่านเท่านั้น ส่วนในการเดินทางจริงของท่านอาจลดหรือเพิ่มเติมได้